บ้านสวนพอเพียง

Subscribe to ฟีด บ้านสวนพอเพียง
ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนไปทำให้กลับเป็น "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" ไม่ต้องทั้งหมดแม้แค่ครึ่งก็ไม่ต้องอาจจะสักเศษหนึ่งส่วนสี่ ก็จะสามารถอยู่ได้การแก้ไขอาจต้องใช้เวลาไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากคนก็ใจร้อนเพราะเดือดร้อน แต่ว่าถ้าทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก็สามารถที่จะแก้ไขได้ พระราชดำรัส พระราชทาน​เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐
ถูกปรับปรุง: 1 ชั่วโมง 9 นาที ก่อน

รักษาหลุมสิวให้ผิวเนียนกริบ ด้วย 11 วิธีรักษาแบบละเอียด

13 พฤศจิกายน, 2023 - 13:54
หมวดหมู่ของบล็อก: สุขภาพ 

หลุมสิว รักษายังไงก็ไม่หายเสียที หลุมสิวเป็นปัญหาผิวหน้าที่มักเกิดหลังจากสิวอักเสบ โดยบางครั้งเมื่อสิวอักเสบแล้ว อาจทิ้งร่องรอยหลุมสิวทำให้ผิวหน้ามีรอยและความไม่เรียบเนียน ส่งผลต่อความมั่นใจ ดังนั้น ควรหาวิธีการรักษาและป้องกันหลุมสิวเพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหานี้ในอนาคต

หลุมสิวคืออะไรและเกิดจากอะไร?

หลุมสิว คือ ผลจากการสิวที่มีการอักเสบและอาจเกิดเป็นสิวที่อุดตัน หลังจากสิวหายไปแล้ว ปกติผิวหน้าจะมีกระบวนการซ่อมแซมเพื่อให้ผิวเนียนเช่นเดิม โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน แต่หากมีอาการอักเสบรุนแรง อาจทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ผิวเกิดการยุบตัวลง การสร้างคอลลาเจนใหม่อาจไม่เพียงพอเท่ากับคอลลาเจนที่สูญเสียไปขณะเป็นสิว ส่งผลให้เซลล์เนื้อเยื่อมีการหดตัว สร้างรอยแผลหรือหลุมจากสิวได้

 

สาเหตุหลุมสิวส่วนใหญ่เกิดจากสิวที่รุนแรงหรือสิวที่มีรอยแผล พบได้ในประมาณ 22% ของผู้ที่เคยเป็นสิว สิวที่รุนแรงทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบรุนแรงในชั้นหนังแท้ และมีการตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรียชื่อ P.acnes ซึ่งอาจทำให้คอลลาเจนและเนื้อเยื่อรอบรอยแผลหรือหลุมสิวถูกทำลาย สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่มักทิ้งรอยแผลเป็นในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดหลุมลึกและเป็นรอยผิดรูปได้ในภายหลัง

สิวแบบไหนที่ทำให้เกิดหลุมสิว?

สิวที่อาจกลายเป็นหลุมสิวได้มีลักษณะ ดังนี้

  • สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ มีขนาดใหญ่และมีหนองปนเลือดอยู่ภายในหัวสิว การรักษาสิวชนิดนี้อาจใช้เวลานานและต้องใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม

  • สิวอักเสบรุนแรงหรือสิวหัวหนอง มีการอักเสบเรื้อรังและมีหัวหนองปนอยู่ภายในสิว สิวชนิดนี้มักแสดงอาการบวมแดงและอักเสบ

  • สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรงในชั้นใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้มีขนาดใหญ่และอาจทำให้ผิวหน้าบวมแดงและระคายเคือง

 

สิวที่มีลักษณะเหล่านี้มักเป็นต้นเหตุที่ส่งผลให้เกิดหลุมสิวหรือรอยแผลหลุมสิวได้ในภายหลัง การรักษาสิวชนิดนี้อย่างเหมาะสมและทันท่วงทีจะสามารถลดโอกาสในการเกิดหลุมสิวได้

ประเภทของหลุมสิวมีอะไรบ้าง

หลุมสิวแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. ชนิด Ice Pick Scar:
  • หลุมสิวประเภท Ice Pick scar มีลักษณะเป็นหลุมลึก ปากแผลแคบ และมักมีขนาดไม่เกิน 2 มิลลิเมตร

  • สิวชนิดนี้มักเกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตันที่มีการอักเสบรุนแรง

  • การรักษาสิวชนิด Ice Pick ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากสิวกินเนื้อไปจนถึงชั้นรูขุมขนและทำลายคอลลาเจนลึกในผิวหนัง

  • การฟื้นฟูรอยหลุมสิวในกรณีนี้จำเป็นต้องใช้เวลานาน

  1. ชนิด Box Scar:
  • หลุมสิวประเภท Box Scar มีลักษณะเป็นบ่อ มีขนาดกว้างและขอบชัดเจน

  • ลึกประมาณ 3-5 มิลลิเมตร มีขนาดใหญ่กว่าหลุมสิวประเภท Ice Pick scar

  • สิวชนิดนี้มักมีความรุนแรงปานกลาง และสามารถมีพังผืดเกาะติดในชั้นหนังแท้

  • สาเหตุมาจากการอักเสบสิวที่ลึกและคนที่เป็นโรคอีสุกอีใส

  1. ชนิด Rolling Scar:
  • หลุมสิวประเภท Rolling Scar เป็นหลุมตื้น มักเป็นแอ่งเว้าลงไปไม่ลึกมากนัก

  • มีความรุนแรงน้อยสุด และสามารถรักษาได้ง่ายกว่าระดับอื่น ๆ

  • สิวชนิดนี้มักไม่กินลึกถึงชั้นรูขุมขนและคอลลาเจนในผิวหนังยังคงคงอยู่ไม่ถูกทำลาย

 

การรู้แนวทางการรักษาและการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมสามารถช่วยลดการเกิดหลุมสิวและรอยแผลหลุมสิวในอนาคตได้ง่ายขึ้น

วิธีรักษาหลุมสิวโดยแพทย์

หลังจากสิวหายไป ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวช้าง (Cyst) สิวอักเสบ (Pustule) หรือ สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule) มักเหลือรอยต่าง ๆ บนผิวหนัง เช่น รอยด่างดำหรือหลุมสิว ระดับความรุนแรงของรอยนี้อาจแตกต่างกันไป เช่น Ice pick scar, Boxcar scar, หรือ Rolling scar ทั้งหมดนี้ควรพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา ประเมินความรุนแรงของรอยและวางแผนรักษาที่เหมาะสม ข้อดีคือการรับการรักษาที่ถูกต้องและเฉพาะเจาะจง ที่จะช่วยให้เห็นผลการรักษาที่ดีและเร็วมากยิ่งขึ้น

 

หลุมสิวมีหลายประเภท โดยมีความรุนแรงและระดับความยากง่ายในการรักษาที่แตกต่างกัน จึงทำให้วิธีการรักษาในแต่ละเคสมีความแตกต่างกัน โดยหากเลือกรักษาหลุมสิวโดยวิทยาการทางการแพทย์ มีวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์

การใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมอบผลลัพธ์ที่ดีต่อการรักษาหลุมสิวในหลาย ๆ เคส เลเซอร์ที่ใช้ในการแก้ปัญหาหลุมสิวมีหลายชนิด โดยแพทย์จะเลือกชนิดที่เหมาะกับลักษณะของหลุมสิวในแต่ละบุคคล แต่ทั้งนี้การทำเลเซอร์หลุมสิวก็มีข้อควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และควรเตรียมตัวให้พร้อมกับการฟื้นตัวหลังการรักษาด้วยการหมั่นทาครีมกันแดดเพื่อการปกป้องผิวจากแสงแดด เพราะการทำเลเซอร์อาจทำให้ผิวไวต่อแสงได้

2. ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF)

การใช้คลื่นวิทยุ RF ในการรักษาหลุมสิวจะคล้ายกับการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิว โดยการใช้คลื่นวิทยุจะปล่อยพลังงานความร้อนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นล่าง แต่ควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวหน้าบวม แดง แต่ข้อดี คือ ระยะเวลาในการฟื้นตัวหลังการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับเลเซอร์ที่มีระยะเวลาฟื้นตัวสั้นกว่า

3. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี

การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Dermabrasion) เป็นการใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเกล็ดอัญมณีขนาดเล็กในการกรอผิวหนังที่มีรอยแผลหรือหลุมสิว วิธีนี้มักนำมาใช้กับหลุมสิวชนิด Rolling scars หรือ Box scars โดยแพทย์ที่มีความชำนาญจะกรอผิวหนังที่เป็นแผลหรือหลุมสิวออก ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ผิวเดิม ทำให้รอยสิวลดลง รอยหลุมสิวลดขนาด และรอยแผลจากสิวลดเลือนลง การรักษานี้ยังช่วยลดการเกิดจุดด่างดำจากสิวบนใบหน้าและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย

4. ใช้กรดลอกผิว

เป็นการใช้เทคนิคการลอกผิวด้วยสารเคมีหรือ Chemical Peeling เป็นวิธีที่มีความประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว วิธีนี้ทำโดยการใช้สารเคมีที่มีความเข็มข้นต่าง ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอดออก ซึ่งสามารถช่วยให้รอบหลุมสิวตื้นขึ้นและลดความเข้มข้นของรอยแผลหรือหลุมสิวได้ สารเคมีที่ใช้แบ่งออกเป็นระดับความเข้มข้นต่าง ๆ คือ

  • ระดับชั้นหนังกำพร้า (Superficial Chemical Peeling) ใช้สารเคมี เช่น Glycolic acid, Lactic acid, Salicylic acid, Trichloroacetic acid (TCA) ในความเข็มข้นต่าง ๆ สารเหล่านี้ช่วยลอกผิวบนชั้นเบา ช่วยลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิวชนิด Icepick scars และ Rolling scars โดยผิวจะดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ช่วยลดรอยแดงและรอยดำ ทำให้ผิวนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดการอุดตันของเคราตินในรูขุมขน เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทตื้น ๆ

  • ระดับชั้นหนังแท้ชั้นตื้น (Intermediate Chemical Peeling) เป็นการใช้สาร Trichloroacetic acid (TCA) ช่วยลอกผิวชั้นกลาง มอบผลลัพธ์ที่ดีในการลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิว

  • ระดับชั้นหนังแท้ชั้นลึก (Deep Chemical Peeling) เป็นการใช้สาร Phenol เพื่อลอกผิวลึก วิธีนี้มีผลสำคัญในการรักษาหลุมสิวแต่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำและรอยแผล

5. ใช้ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอหรือกรดวิตามินเอ

การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Retin A (เรตินเอ), Retinoid (เรตินอยด์), Retinol (เรตินอล) เป็นวิธีที่มีความประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างผิวชั้นบน (ผิวหนังชั้นเคราติน) เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอุดตันของเคราตินในรูขุมขน นอกจากนี้ ยังช่วยลดรอยแดงและรอยดำบนผิวหนัง การใช้ยาในกลุ่มนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling scar ที่อยู่ในระดับที่ไม่ลึกมาก

 

ข้อควรระวังคือ อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้ง แสบ หน้าแดง ผิวลอก และเป็นไปได้ว่าผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงต้องใช้ใต้ความดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ และควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาในกลุ่มนี้ควรป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างดี

6. การตัดพังผืด (Subcision)

การตัดพังผืดหลุมสิวหรือ subcision เป็นวิธีการใช้เข็มขนาดเล็กในการตัดเลาะพังผืดใต้ผิวหนัง เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวหลายแห่งและกระจายไปทั่วผิวหนัง เช่น หลุมสิวชนิด rolling scar และ box car ที่มีขอบชัดและลึกขึ้น

กระบวนการนี้ช่วยให้รอบหลุมสิวตื้นขึ้น โดยการตัดเลาะพังผืดทำให้รอยแผลและหลุมสิวลดลง การใช้เข็มช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. การผ่าตัด (Punch Excision)

การผ่าตัดหลุมสิวเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนของวิธีการนี้คือการใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เพื่อตัดบริเวณหลุมสิวทิ้ง จากนั้นแพทย์จะดึงขอบ 2 ข้างที่เป็นผิวปกติมาเย็บติดกัน เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวชนิด Icepick scars และ Boxcar scars โดยขนาดขอบที่ต้องการตัดไม่ควรกว้างเกิน 3 มิลลิเมตร เพราะหากหลุมสิวใหญ่กว่านี้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่ไม่สวยได้

ข้อดีคือ การผ่าตัดหลุมสิวเป็นวิธีการสร้างแผลใหม่ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและเป็นกระบวนการที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่ข้อควรระวังคือ หลังผ่าตัดต้องดูแลรอบแผลอย่างดีและในระยะเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากตัดไหมแล้ว รอยแผลจะเป็นเส้นตรง และใช้เวลาประมาณ 2 เดือนรอยแผลจะดีขึ้น อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ห้ามให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน และไม่ควรแต่งหน้าในบริเวณที่ทำการตัดไหมออก โดยเฉพาะในช่วงที่รอยแผลยังไม่หายดี

8. การฉีดสารเติมเต็มหรือฉีดฟิลเลอร์ (Fillers Injection)

การฉีดฟิลเลอร์ในหลุมสิวเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน เป็นวิธีที่ไม่ต้องรอนานก็สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถผสมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วและมีประสิทธิภาพ วิธีการ คือ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในหลุมสิวเพื่อเติมเต็มและทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้น การรักษาไม่ต้องรอผลลัพธ์นานและไม่เกิดรอยแผล และไม่ต้องพักฟื้น ข้อควรระวัง คือ ต้องเลือกการรักษากับแพทย์ที่มีความชำนาญ โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาหลุมสิวที่มีพังผืด แพทย์จะต้องใช้เข็มเซาะพังผืดพร้อมกับการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและหลุมสิวดูตื้นขึ้นทันที

9. การฉีดเมโส

การฉีดเมโสเพื่อรักษาหลุมสิวหรือที่เรียกว่า "ฉีดมาเด้คอลลาเจนหลุมสิว" เป็นกระบวนการที่ใช้สารเมโส (Mesotherapy) ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมที่ช่วยลดรอยด่างดำบนใบหน้าและบำรุงผิวหนังด้วยคอลลาเจนและสารอาหารต่าง ๆ อาทิเช่น วิตามิน A, B, C, E, โคเอนไซม์, Transamin, และ Glutathione ซึ่งมีประโยชน์ในการกระชับรูขุมขน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ผิวใหม่ และช่วยฟื้นฟู แก้ไขสภาพผิวให้มีสุขภาพดีขึ้น

 

กระบวนการนี้เหมาะสำหรับรักษาหลุมสิวที่มีความรุนแรงไม่มาก หลังการทำมาเด้คอลลาเจนหลุมสิว ผิวจะช่วยให้ผิวเนียนเรียบ ชุ่มชื้น และฟื้นฟู ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และสามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น

 

10. การฉีด รีจูรัน (Rejuran)

การฉีดรีจูรันนับเป็นนวัตกรรม ที่ใหม่ที่สุดหากเทียบกับกระบวนการอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้นโดย รีจูรันจะมีส่วนผสมของ PN (Polynucleotide) บริสุทธิ์ เข้มข้น 2% สกัดจากชิ้นส่วน DNA Salmon ที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ 98 % มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว เมื่อนำมาฉีดในชั้นหนังแท้โดยตรง จะช่วยให้ผิวแข็งแรง สามารถลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อการรักษารอยแผลเป็นต่างๆรวมถึงหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

11. การฉีด PRP (Platelet Rich Plasma)

คือ การรักษาบนพื้นฐานของกระบวนการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสารที่ได้จากการนำเลือดของตัวเองมาปั่นแล้วฉีดกลับเข้าไป โดยผ่านกรรมวิธีการเฉพาะในการปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสมา (Plasma) ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสออกมา โดยในพลาสมาประกอบด้วยเกล็ดเลือด ซึ่งแพทย์จะสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นนี้ซึ่งมีความเข้มข้นสูงที่สุดมาใช้ เพราะในเกล็ดเลือดประกอบด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงสารกระตุ้นการเจริญเติบโต (Growth Factor) ซึ่งเป็นกลุ่มโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีหน้าที่ไปกระตุ้นให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เซลล์เหล่านั้นมีการเพิ่มจำนวนและซ่อมแซมตัวเองเกิดขึ้นนั่นเอง

โดยเกล็ดเลือดถือเป็นปัจจัยสำคัญในกลไกการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดยมี Growth Factor ที่จำเป็น เช่น FGF, PDGF, TGF-ß, EGF, VEGF, IGF ซึ่งมีบทบาทในการกระตุ้น Stem cell ให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ นอกจากนี้ เกล็ดเลือดยังกระตุ้นการทางานของ Fibroblasts (เซลล์สร้างคอลลาเจน) และ Endothelial cell (เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด) จึงเป็นที่นิยมในการนำมาใช้เป็นหนึ่งใน skin booster เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิว อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมารักษาบริเวณแผลเป็นและหลุมสิวอีกด้วย

 

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีหลุมสิว

เมื่อประสบกับปัญหารอยหลุมสิว แนะนำให้ใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • รักษาความสะอาดผิวหนังอย่างดีโดยล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะในเวลาเช้าและก่อนนอน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทผิว และไม่ทำให้ผิวแห้งหรือมันเกินไป งดการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง

  • งดสัมผัสแผลหรือรอยแดงจากสิว เช่น การบีบ แกะ หรือเอามือไปจับสิวเพื่อป้องกันการอักเสบเพิ่มเติม ดูแลผิวหนังอย่างอ่อนโยน

  • เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือน้ำมัน และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่หนักหน้า

  • หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละออง ควัน และสิ่งสกปรกที่อาจส่งผลให้ผิวเกิดการอุดคันจากสิ่งสกปรก

  • รับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะกับความรุนแรงของรอยหลุมสิวของคุณ

 

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณรักษาและดูแลผิวให้มีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยหลุมสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ ได้

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวซ้ำ ๆ

การป้องกันการเกิดรอยหลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถปฏิบัติตามได้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยหลุมสิว เช่น

  • หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือขัดถูสิวอย่างแรง การกระทำเหล่านี้อาจทำให้สิวแตกหรือติดเชื้อมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยหลุมสิว

  • เมื่อสิวเริ่มแห้งและหาย อย่าแกะสะเก็ดออก เพราะการแกะสะเก็ดอาจทำให้แผลหายช้าลงและเสี่ยงให้เกิดรอยหลุมสิว

  • หากมีสิวเยอะหรือเป็นสิวเม็ดใหญ่ที่กระจายกว้างบนใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาและป้องกันการเกิดรอยหลุมสิวในอนาคต

 

การรักษาสิวอย่างถูกต้องและเร็วรับเวลาสำคัญในการป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว ควรรีบปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาเกี่ยวกับสิว และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อปกป้องผิวหนังของคุณอย่างเหมาะสม

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี?

การรักษาหลุมสิวมีความสำคัญในการควบคุมและป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว การเลือกสถานที่หรือคลินิกรักษาหลุมสิวที่ให้บริการอย่างดีถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยปัจจัยที่ใช้ในการเลือกใช้บริการรักษาหลุมสิว มีดังนี้

  • ค้นหาคลินิกที่มีมาตรฐานและความเชื่อถือ คลินิกที่เหมาะสมควรมีใบอนุญาตและป้ายชื่อสถานพยาบาลที่แสดงใบอนุญาตอย่างชัดเจน โดยควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกมีความสะอาดและอยู่ในสภาพดี ทั้งยังควรมีพื้นที่หัตถการกว้างขวางและเครื่องมือการรักษาที่มีมาตรฐาน

  • คุณภาพของแพทย์ แพทย์ที่ปรึกษาควรมีความเชี่ยวชาญในการรักษาหลุมสิว ควรมีใบประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ในการรักษาสิว เป็นที่ปรึกษาและสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมได้ และสามารถขอดูผลงานหรือรีวิวของแพทย์ก่อนที่คุณจะตัดสินใจได้

  • มาตรฐานของบริการ คลินิกควรมีมาตรฐานสูงในการให้บริการ รวมถึงความนิยมของวิธีการรักษาที่วางแผนอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพของผิวหนังของแต่ละเคส

 

การเลือกคลินิกที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การรักษาหลุมสิวมีผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยโดยไม่เสี่ยงเพิ่ม หากเลือกใช้บริการคลินิกที่ไม่มีมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวอักเสบและอาจลุกลามจนเป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก

 

ที่คลินิก Skinserity ให้บริการอย่างมีมาตรฐาน พร้อมด้วยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญและมากไปด้วยประสบการเฉพาะด้าน มีบริการให้เลือกหลากหลายพร้อมรีวิวเคสการใช้บริการจริงที่สามารถหาอ่านได้ก่อนเลือกใช้บริการ

FAQ การรักษาหลุมสิว หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายขาดได้อย่างถาวร การรักษาหลุมสิวจึงเน้นไปที่การปรับผิวให้ดูเรียบเนียนเสียมากกว่า นอกจากนี้ การรักษาหลุมสิวยังเน้นไปที่การทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ดูเต็มขึ้น โดยอาจจำเป็นต้องใช้หลายวิธีประกอบกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

หลุมสิว รักษาเองได้ไหม?

หลุมสิว สามารถรักษาเองได้ในกรณีที่เป็นหลุมสิวตื้น ๆ ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว อย่าง AHA หรือ BHA เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ไม่เรียบเนียนสม่ำเสมอออก แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาและใช้ในปริมาณที่เหมาะสมที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง

หน้าเป็นหลุมสิวค่อนข้างมาก รักษาอย่างไร?

หากมีปัญหาหลุมสิวค่อนข้างเยอะและอาการหนัก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิทยาการทางการแพทย์เข้ามาช่วย แพทย์จะให้คำแนะนำพร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับหลุมสิวในแต่ละเคส นอกจากนี้ การรักษายังอาจมีการทำเลเซอร์ควบคู่ไปกับการฉีดฟิลเลอร์ การทายา และการทานยา เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่

ทำไมสิวทำให้เกิดเป็นหลุมสิว?

การเกิดกลุมสิวหรือการที่เนื้อหายไปจนเป็นหลุมสิวหลังเป็นสิวเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ 

  • ลักษณะสิว เช่น เป็นสิวเม็ดใหญ่ สิวหัวช้าง ที่เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้เกิดเป็นโพรงหนองใต้ชั้นผิวหนัง และการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์จนทำให้เกิดการยุบตัวของผิว กลายเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมสิวนั่นเอง

  • การรักษาที่ไม่ถูกวิธี ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังเกิดการอักเสบและสมานแผลได้ไม่ทัน เกิดเป็นแผลบุ๋มลงไปในชั้นผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นหลุมสิวนั่นเอง

 

หลุมสิวมักเกิดจากสิวอักเสบและการเกิดความเสียหายภายใต้ชั้นผิวหนัง เช่น การบีบหรือกดสิวอย่างแรง ดังนั้น จึงควรรักษาสิวอย่างระมัดระวังเพื่อลดโอกาสการเกิดหลุมสิว

 

สำหรับผู้ที่เผชิญกับปัญหาหลุมสิวอยู่แล้ว หากต้องการให้ผิวหน้าดูดีขึ้นและลดรอยหลุมสิว แนะนำว่าควรพิจารณาปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาหลุมสิว แพทย์จะประเมินระดับความรุนแรงของปัญหาและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

ติดต่อสอบถามหรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.skinserityclinic.com/

 

ฮาวทูหน้าใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ ให้คุณสวยหล่ออย่างมั่นใจจนใครๆ ต่างต้องชม

10 พฤศจิกายน, 2023 - 13:42
หมวดหมู่ของบล็อก: สุขภาพ

วันนี้เรามีฮาวทูทำให้หน้าใส ไร้สิว แบบธรรมชาติ มาให้หนุ่มสาวทุกคนที่อยากจะมีใบหน้าสว่างกระจ่างใสจนเดินไปที่ไหนก็มีทัก เริ่มจากเคล็ดลับในการทำความสะอาดผิว ไปจนวิธีที่ทำให้ใบหน้าดูขาวสว่างแบบสุขภาพดี ถ้าพร้อมแล้วเรามาทำความเข้าใจวิธีและเคล็ดลับขจัดปัญหาผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน  มีจุดด่างดำขาดความชุ่มชื้น หรือแม้แต่มีริ้วรอยก่อนวัย เพื่อให้คุณดูสวยหล่อในแบบที่ใครก็พากันคิดว่าคุณมีผิวดีเป็นทุนเดิมกันเถอะ

 

เคล็ดลับทำความสะอาดผิวหน้าให้สว่างสดใสแลดูปังเป็นธรรมชาติ

 

ใครที่กำลังตามหาเคล็ดลับหรือวิธีทำให้ใบหน้าสว่างใสไร้สิวและดูสวยหล่อแบบธรรมชาติที่สุด คุณก็ควรเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธีก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เพียงแค่การชำระล้างสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าเท่านั้น หากล้างหน้าไม่ถูกวิธีก็มีโอกาสที่ผิวหน้าของคุณจะแห้งตึงเนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย หน้าแห้งกร้านจนลอกเป็นขุย  ผิวหนังเหี่ยวย่นและใบหน้าก็จะยิ่งดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

 

นอกจากนี้การที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นอยู่บ่อย ๆ ยังทำให้กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ เพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่ขาดหายไป แต่ว่าน้ำมันที่ถูกผลิตออกมาเพิ่มนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อผิวของคุณเท่าไรเลย เพราะน้ำมันส่วนเกินเหล่านี้จะเข้าไปอุดตันตามรูขุมขนรวมกับสิ่งสกปรกที่คุณเจอมาในแต่ละวัน และนั่นเป็นตัวการที่ไปช่วยแบคทีเรียบนผิวหน้าที่ส่งผลให้เกิดสิวมากขึ้นอีกต่างหาก

 

นั่นหมายความว่าการทำความสะอาดผิวหน้าสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งสกปรกและไขมันให้หลุดออกไปผิวหน้าและรูขุมขนของคุณอย่างหมดจด และยังต้องควบคุมให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อทำให้การทำความผิวหน้าของคุณมีประสิทธิภาพในการดูแลผิวให้สว่างใสแลดูปังเป็นธรรมชาติได้มากที่สุดนั่นเอง

 

 

ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าและเคล็ดลับแบบพึ่งธรรมชาติ

โฟมล้างหน้าไม่ใช่วิธีเดียวในการทำความสะอาดผิวหน้าของคุณจากสิ่งสกปรกที่อาจก่อให้เกิดสิวอุดตัน แต่ควรผสมผสานการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเข้าด้วยกันเพื่อความสะอาดอย่างล้ำลึกและเพื่อให้ผิวของคุณคงความชุ่มชื้นได้อย่างดี และนี่คือวิธีการทำความสะอาดผิวด้วยโฟมและการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อการดูแลผิวที่เหมาะสม.

●      ใช้น้ำอุ่นชโลมผิวหน้าเพื่อช่วยเปิดรูขุมขน

การใช้น้ำอุ่นชโลมผิวหน้าเป็นหนึ่งเคล็ดลับที่ทำง่ายและได้ผลดีมาก เพราะความร้อนจากน้ำอุ่นจะเข้าไปช่วยเปิดรูขุมขนให้ขยายและค่อย ๆ เปิดออกจนกว้างขึ้น จากนั้นคุณก็จะสามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกและไขมันที่อุดตันอยู่บนผิวหน้าได้จนหมดเกลี้ยงแบบง่าย ๆ เลย

●      ใช้โฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนต่อผิว

เวลาไปที่ร้านขายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าก็ให้ลองมองหาโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนต่อผิว เนื่องจากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ซึ่งได้แก่

 

1.     แอลกอฮอล์

2.     พาราเบน (วัตถุกันเสีย)

3.     น้ำหอม

4.     สารในกลุ่ม Phthalates

5.     สเตียรอยด์

●      ใช้คลีนซิ่งจากธรรมชาติในวันที่แต่งหน้าเบา ๆ

ในวันไหนที่คุณไม่ได้แต่งหน้าหรือประโคมครีมต่าง ๆ เพื่อบำรุงใบหน้ามากนัก ก็อาจลองใช้คลีนซิ่งที่มาจากธรรมชาติดูบ้าง เพราะทุก ๆ วันที่ผ่านมาใบหน้าของคุณเจอสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวผสมอยู่ในคลีนซิ่งมากมายหลายตัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ พาราเบน และสารที่ใช้ลบเครื่องสำอางอื่น ๆ บนใบหน้า

 

สำหรับคลีนซิ่งจากธรรมชาติที่เหมาะกับสภาพผิวและคุณยังสามารถหาได้ง่ายใกล้ ๆ ตัวนั้น ก็ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว ที่นำมาใช้นวดใบหน้าเพื่อชำระล้างเครื่องสำอางได้ โดยวิธีก็ไม่ยากอะไรเพียงแค่คุณนำน้ำมันมะพร้าวมานวดให้ทั่วใบหน้าและเน้นไปบริเวณที่มีเครื่องสำอางค์ จากนั้นก็ใช้สำลีชุบน้ำมาเช็ดเพื่อล้างคราบน้ำมันมะพร้าวออกไป เท่านี้จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณก็จะสะอาดได้ด้วยวิธีแบบธรรมชาติแล้ว

 

 

อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือโฟมล้างหน้านั้นจะต้องปกป้องความชุ่มชื้นให้อยู่กับผิวหน้าของคุณไปนาน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งตึงและเป็นสาเหตุของปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

 

1.     ผิวหน้ามีปัญหาหมองคล้ำไม่สว่างใส

2.     ผิวหน้ามีความมันส่วนเกินมากเกินไปเนื่องจากขาดความชุ่มชื้น

3.     ผิวหน้าหลุดลอกเป็นขุยขาว ๆ

4.     ผิวหน้ามีริ้วรอยดูแก่ก่อนวัยและจุดด่างดำให้เห็นชัดเจน

5.     ผิวหน้ามีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีสิวอุดตันผุดขึ้นมา

 

 

 

●      ใช้โทนเนอร์ที่ทำขึ้นเองด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

มาถึงเคล็ดลับทำความสะอาดใบหน้าให้สดใสไร้สิวด้วยการใช้โทนเนอร์ที่คุณสามารถทำขึ้นมาด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ซึ่งโทนเนอร์จากวัตถุดิบธรรมชาตินี้ช่วยให้คุณมั่นใจว่ารูขุมขนจะสะอาดอย่างแน่นอน รวมถึงทำหน้าที่เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณไปในตัว และนี่คือสูตรโทนเนอร์จากธรรมชาติที่คุณสามารถทำเพื่อใช้เองได้

 

1.     โทนเนอร์สูตรน้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ ช่วยปรับสภาพ pH ของผิวให้กลับมาสมดุลและป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว

2.     โทนเนอร์สูตรน้ำมะเขือเทศสด ช่วยให้ผิวหน้าของคุณมีความชุ่มชื้นแลดูขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ

3.     โทนเนอร์สูตรชาเขียว ช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และอาการอักเสบของผิวให้ลดลง

●      ใช้น้ำเย็นชโลมผิวหน้าเพื่อช่วยปิดรูขุมขน

หลังจากที่ทำความสะอาดหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องชโลมผิวหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยปิดรูขุมขนบนใบหน้า เนื่องจากรูขุมขนบนใบหน้าของคุณจะค่อย ๆ หดตัวเล็กลงและทยอยปิดเมื่อถูกน้ำเย็นนั่นเอง โดยการปิดรูขุมขนให้สนิทหลังจากที่ล้างทำความสะอาดใบหน้าด้วยวิธีและเคล็ดลับตามธรรมชาติแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ หลุดเข้าไปในรูขุมขนบนผิวหน้าของคุณอีก

หน้าใส ไร้สิว ด้วย 6 วิธีธรรมชาติ ที่ทำได้ง่ายกว่าที่คุณคิด

 

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

จำได้ไหมว่าหากผิวหน้าของคุณขาดความชุ่มชื้นก็จะส่งผลให้มีความมันส่วนเกินมากขึ้น นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมในแต่ละวันคุณถึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อาจนับง่าย ๆ เป็น 8-12 แก้วต่อวัน หรือประมาณวันละ 1.5-2 ลิตรต่อวัน ก็จะช่วยให้คุณมีผิวกายและผิวหน้าที่ดูอิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน แลดูกระจ่างใสและลดความหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำควบคู่กับการกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยให้ผิวของคุณขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติและมีสุขภาพดีอีกด้วย

 

2. นอนหลับให้เพียงพอ

เมื่อสุขภาพดีจากภายในก็จะส่งผลถึงภายนอก คุณจึงควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงที่คุณนอนหลับ ไปพร้อมกับการให้ผิวหน้าได้พักฟื้นและเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณได้ออกกำลังกายก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและเซลล์ผิวให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

 

3. รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีประโยชน์

ใครที่ชอบกินผักผลไม้อยู่แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เพราะนี่คือหนึ่งในวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติ ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่ดีจากภายในร่างกาย โดยผิวหน้าจะเปล่งปลั่ง ดูขาวใส และชุ่มชื้นยิ่งขึ้น เพราะวิตามินกับแร่ธาตุมากมายที่มีอยู่ในผักผลไม้นั่นเอง ซึ่งควรทำไปพร้อม ๆ กับการลองเลือกชนิดของผักและผลไม้ให้เหมาะสมกับความชอบและความต้องการของคุณเองจะดีที่สุด

 

 

4. ใช้สกินแคร์ที่ดีเพื่อบำรุงผิวหน้า

เพราะใบหน้าของแต่ละคนมีลักษณะผิวที่แตกต่างกัน การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและสกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แนะนำว่าคุณควรมองหาเซรั่มบำรุงผิวที่แมตช์กับผิวของคุณ แต่หากคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองมีผิวประเภทไหนก็สามารถไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เช่นกัน

 

5. ล้างทำความสะอาดใบหน้าให้ถูกวิธี

อย่างที่เราเคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าการทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจด สามารถช่วยให้ผิวหน้าของคุณห่างไกลจากสิว มีความสว่างใส และลดโอกาสที่จะเกิดสิวได้ หากวันไหนที่คุณแต่งหน้าจัดเต็มไปข้างนอกมา ก็ควรที่จะใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางร่วมกับโฟม เจล หรือครีมล้างหน้า จากนั้นก็บำรุงผิวให้สุขภาพดีด้วยโทนเนอร์ที่เหมาะกับผิวของคุณ แต่ถ้าวันใดแต่งหน้าเบา ๆ ก็อาจลดขั้นตอนให้เหมาะสมมากขึ้นก็ได้เช่นกัน

 

6. ทาครีมกันแดดทุกวันก่อนแต่งหน้า

เคล็ดลับสุดท้ายที่เป็นหนึ่งวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติ ก็คือการทาครีมกันแดดก่อนที่คุณจะเริ่มแต่งหน้าเสมอ เพราะเมืองไทยขึ้นชื่อว่าแดดแรงและมีแสงยูวีเข้มข้นที่เล่นงานผิวหน้าของคุณให้หมองคล้ำและมีริ้วรอยได้ง่าย ๆ แต่ถ้าคุณได้ลงครีมกันแดดดี ๆ สักตัวก่อนแต่งหน้า ปัญหาที่ว่ามาเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำร้ายผิวหน้าของคุณได้อีก

 

สูตรหน้าใสไร้สิว ผิวนุ่มชุ่มชื้นสุขภาพดีแบบธรรมชาติ ที่ทำด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวและมีผิวที่นุ่มชุ่มชื้นสุขภาพดีแบบธรรมชาติ เรามี 6 สูตรที่คุณสามารถทำตามได้ด้วยตัวเองที่บ้านมาฝาก โดยจะมีอะไรบ้างนั้นเรามาดูไปพร้อมกันเลย

 

สูตรที่ 1 กล้วยหอมผสมกับนมสด

มาเริ่มกันด้วยสูตรกล้วยหอมผสมกับที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้สุขภาพดี เพียงคุณนำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดให้ละเอียดจากนั้นผสมนมสดเย็น ๆ แล้วคนให้ทุกอย่างเข้ากัน จากนั้นนำมาทาบนผิวหน้าให้ทั่ว และปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างหน้าออกให้สะอาด

 

สูตรที่ 2 ว่านหางจระเข้

ให้คุณนำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกแล้วคัดเอาเฉพาะส่วนที่เป็นวุ้นมาบนให้ละเอียด จากนั้นนำมาทาให้ทั่วใบหน้าและปล่อยทิ้งไว้ราว 20-30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างหน้าให้สะอาด ซึ่งว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณให้นุ่มชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น รวมถึงช่วยลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว พร้อม ๆ กับฝ้า กระ จุดด่างดำ แน่นอนว่าหากอยากให้เห็นผลไว ๆ คุณก็ต้องหมั่นทำวิธีนี้เป็นประจำนั่นเอง

 

สูตรที่ 3 ไข่ขาวผสมกับน้ำผึ้ง

ต่อเนื่องด้วยการนำไข่ขาวมาผสมและคนให้เข้ากันดีกับน้ำผึ้ง จากนั้นนำมาทาบนใบหน้าแล้วรอให้แห้ง ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด โดยสูตรนี้ขึ้นชื่อว่าช่วยให้ใบหน้าของคุณสว่างใส ผิวอิ่มน้ำ และยังช่วยจัดการกับสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เรียกว่าเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือมีสิวอุดตันมาก ๆ

 

 

สูตรที่ 4 แตงโม

สูตรนี้ก็ทำได้ง่าย ๆ เพราะใช้เพียงแค่เนื้อแดงส่วนในสุดของแตงโมนำมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาวางบนใบหน้าให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 30 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด ซึ่งวิตามินที่อยู่ในแตงโมจะช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณให้นุ่มชุ่มชื้น และเปลี่ยนผิวให้ดูสว่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

 

สูตรที่ 5 โยเกิร์ต

อีกหนึ่งวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติอย่างการใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติมาพอกบนใบหน้าทิ้งไว้ 20 นาที เมื่อครบเวลาก็ล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลเสียต่อผิวหน้าแน่นอน และหากเหลือก็ยังกินโยเกิร์ตที่มีอยู่ได้อีกด้วย เรียกว่าได้ทั้งผิวดีและระบบขับถ่ายดีไปพร้อมกัน

 

สูตรที่ 6 ใบบัวบก

มาถึงเคล็ดลับสุดท้ายในการเปลี่ยนใบหน้าให้ขาวใสไร้สิวอย่างการใช้ใบบัวบก เพียงล้างใบบัวบกให้สะอาดแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ จากนั้นให้คุณนำสำลีมาชุบน้ำใบบัวบกและนำไปทาหรือวางไว้บนใบหน้าเป็นเวลา 20-30 นาที เมื่อครบเวลาจึงค่อยล้างออกให้สะอาด โดยสูตรนี้ถือว่ามีสรรพคุณในการช่วยรักษาสิว ลดรอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว ริ้วรอยต่าง ๆ และช่วยให้มีใบหน้าที่ขาวใสเป็นธรรมชาติได้ดีมาก ๆ

 

EY Clinic พร้อมแนะนำวิธีที่ทำให้คุณมีใบหน้าใส ไร้สิว ได้รวดเร็วและปราศจากผลข้างเคียง

 

 

บรรดาวิธีทำให้คุณมีใบหน้าที่สว่างใสไร้สิวแบบธรรมชาติที่เราได้นำเสนอมาทั้งหมด รวมถึงเคล็ดลับในการช่วยให้คุณผิวหน้าที่ดีขึ้นจากภายในและภายนอก  และสูตรบำรุงผิวหน้าทั้ง 6 สูตรที่สามารถทำตามด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เหล่านี้ล้วนช่วยให้คุณมีผิวหน้าสุขภาพดีได้ตามต้องการแทบทั้งนั้น

 

แต่หากคุณอยากมีใบหน้าที่สดใส ไร้สิว แลดูเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยแล้วละก็ EY Clinic เราก็มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและเวลล์เนสที่มีประสบการณ์รวมกว่า 30 ปีจากสถาบันชั้นนำของประเทศ ที่พร้อมมอบคำแนะนำรวมถึงการใช้เครื่องมือมาตรฐานระดับโลก เพื่อช่วยให้คุณมีผิวหน้าสุขภาพดีได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ เพียงติดต่อเราที่ไลน์ @EYClinicTH หรือแวะชมเว็บไซต์ได้ที่ https://www.eyclinic.com/